การฟื้นฟูการมองเห็นในผู้ป่วย Keratoconus ขั้นสูง ด้วยเลนส์ RGP เฉพาะบุคคล
กรณีศึกษาผู้ป่วย Keratoconus: จากเลนส์ RGP ที่ใช้มากว่า 10 ปี สู่การดูแลเฉพาะทางในประเทศไทย
ภาวะ Keratoconus (กระจกตาโป่งพอง) เป็นโรคที่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องและแม่นยำที่สุดในสายอาชีพด้านทัศนมาตรศาสตร์ เพราะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและรักษาคุณภาพการมองเห็นให้อยู่ในระดับดีได้ หากได้รับการออกแบบเลนส์และติดตามโดยผู้เชี่ยวชาญ
บทความนี้เป็นกรณีศึกษาจริงของ ผู้ป่วยชาวอังกฤษวัย 42 ปี ซึ่งอาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ ผู้ที่มีประวัติการใช้เลนส์ RGP มานานกว่า 10 ปี และเลือกมาพบ OPTICARE DR+ เพื่อรับการดูแลสายตาอย่างมืออาชีพ หลังจากพบปัญหากับเลนส์เดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพและทำให้มองเห็นลดลง
👁️ ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย
เพศ / อายุ: ชาย อายุ 42 ปี
สัญชาติ: อังกฤษ
อาชีพ: วิศวกรซอฟต์แวร์ (ทำงานหน้าจอคอมวันละกว่า 8 ชั่วโมง)
ประวัติ: ใช้ RGP จากคลินิกเฉพาะทางในอังกฤษมากกว่า 10 ปี
อาการปัจจุบัน: เห็นภาพเบลอระยะกลาง, แสบตา, คราบโปรตีนบนเลนส์เก่ามาก
ค่าสายตา:
OD: -3.25 -5.25 × 45
OS: -8.50 -4.25 × 148
ภาวะร่วม: Early Presbyopia (สายตายาวตามวัยระยะเริ่มต้น)
🔬 การตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Pentacam: ภาพรวมของกระจกตาทั้งสองข้าง
เพื่อประเมินสภาพกระจกตาอย่างละเอียด ได้มีการตรวจด้วยเครื่อง Oculus Pentacam HR ซึ่งให้ภาพวิเคราะห์เชิง 3 มิติของโครงสร้างกระจกตา (ทั้งผิวหน้าและผิวหลัง) รวมถึงความหนาและการยกตัวของกระจกตา ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานสากลในการติดตามภาวะ Keratoconus
ตาขวา (OD)
K1: 44.6 D
K2: 50.5 D
Astigmatism: 5.8 D
Rmin: 5.95 mm
Corneal Thickness (บางที่สุด): 469 µm
Posterior Elevation: +75 µm
รูปแบบ topography แสดง inferotemporal steepening อย่างชัดเจน — เป็นลักษณะเฉพาะของ Keratoconus ระยะกลาง
ความต่างระหว่าง K1–K2 มากกว่า 5 D บ่งชี้ว่าเป็น irregular astigmatism ระดับสูง ซึ่งแว่นตาไม่สามารถแก้ไขได้
ค่า posterior elevation +75 µm ยืนยันว่ามีการโป่งของกระจกตาในชั้น stromal ด้านหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณของ true ectasia
ส่วนความหนากระจกตาที่ 469 µm จัดอยู่ในระดับ “บางกว่าปกติ” (มาตรฐานทั่วไป ~520 µm) แต่ยังไม่ถึงขั้นเสี่ยงต่อ rupture
ตาซ้าย (OS)
K1: 45.7 D
K2: 58.1 D
Astigmatism: 12.4 D
Rmin: 5.31 mm
Corneal Thickness (บางที่สุด): 438 µm
Posterior Elevation: +82 µm
ภาพจาก Pentacam แสดงรูปแบบ inferocentral cone ที่ apex มีความชันสูงสุดกว่า 62 D
ค่าความหนา 438 µm จัดอยู่ในระดับ Advanced Keratoconus ซึ่งต้องระวังไม่ให้เลนส์ RGP ไปกดทับ apex โดยตรง
ค่า posterior elevation +82 µm สูงกว่าค่ามาตรฐานมาก (โดยปกติ < +30 µm) ถือเป็นสัญญาณของ structural deformation ที่ลึก
Belin–Ambrosio Enhanced Ectasia Display (BAD)
ผลวิเคราะห์ BAD index แสดงค่า:
OD: D = 8.12
OS: D = 11.36
โดยเกณฑ์ปกติ D ≤ 1.6 ถือว่า “ปกติ”,
D = 1.6–2.6 “borderline”,
D > 2.6 “abnormal”
ดังนั้นค่าที่ได้ทั้งสองข้างสูงมาก แปลผลได้ชัดเจนว่าเป็น established Keratoconus ระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยตาซ้ายรุนแรงกว่ามาก
นอกจากนี้ slope ของกราฟ Percentage Thickness Increase (PTI) มีลักษณะชันกว่าปกติ แสดงว่าการบางของกระจกตาเกิดอย่างเฉพาะจุด — ซึ่งเป็น hallmark ของโรค Keratoconus จริง ไม่ใช่การบางแบบทั่วทั้งกระจกตา
🧠 การแปลผลเชิงคลินิก
รายการ | ตาขวา (OD) | ตาซ้าย (OS) | การประเมิน |
Kmax | ~55 D | ~62 D | Keratoconus ระดับกลาง–รุนแรง |
Thinnest point | 469 µm | 438 µm | กระจกตาบางมาก |
Elevation (Back) | +75 µm | +82 µm | ยืนยัน ectasia |
D Value (BAD) | 8.12 | 11.36 | ผิดปกติชัดเจน |
Cone position | Inferotemporal | Inferocentral | รูปแบบคลาสสิกของ KC |
ภาพรวมแปลได้ว่าเป็น Bilateral Keratoconus (OU) โดยมีความไม่สมมาตรระหว่างสองตา ตาซ้ายรุนแรงกว่าอย่างชัดเจน
🧩 การออกแบบเลนส์ RGP ใหม่: ความละเอียดสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตการมองเห็น
หลังการวิเคราะห์อย่างละเอียด ทีมผู้เชี่ยวชาญของ OPTICARE DR+ ได้ออกแบบเลนส์ RGP ใหม่โดยใช้แนวทาง “Vault over Cone Apex”
เพื่อให้เลนส์ลอยเหนือยอด cone อย่างสมดุล ลดแรงกดเชิงกล และรักษาการแลกเปลี่ยนน้ำตาใต้เลนส์ (tear exchange) ให้ดี
องค์ประกอบสำคัญของการออกแบบ
Base Curve ปรับเฉพาะบุคคล — อิงจากตำแหน่ง apex ที่ offset จากศูนย์กลาง
วัสดุ Dk สูง: เลือกใช้ Boston XO2 (Dk 141) เพื่อให้กระจกตาได้รับออกซิเจนเพียงพอแม้ใส่เลนส์ 10–12 ชั่วโมงต่อวัน
Peripheral Zone ปรับแบบ Asymmetric Curve Design — เพื่อให้ขอบเลนส์เคลื่อนไหวได้ดีแม้ใน cone ชัน
Multifocal Add Power +1.25D — รองรับ Early Presbyopia สำหรับการอ่านใกล้
🧭 แผนการติดตามและการดูแลระยะยาว
ภาวะ Keratoconus จำเป็นต้องมีการติดตามสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกระจกตา
แนวทางที่แนะนำโดย Global Consensus (2023):
ตรวจติดตามด้วย Pentacam ทุก 6–12 เดือน
เปลี่ยนเลนส์ทุก 2–3 ปี
ใช้ enzyme cleaner เดือนละ 1–2 ครั้ง
หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ
หากพบ progression >1 D ใน 1 ปี ให้พิจารณา Corneal Cross-Linking (CXL) เพื่อหยุดการโป่งของกระจกตา
🌍 การดูแลระดับสากลที่เข้าถึงได้ในประเทศไทย
กรณีของผู้ป่วยรายนี้สะท้อนให้เห็นว่า การดูแลภาวะ Keratoconus ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าต่างประเทศ สามารถทำได้ภายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องรอคิวโรงพยาบาลนานเป็นเดือน
OPTICARE DR+ ใช้เทคโนโลยีการตรวจและ fitting ที่อ้างอิงมาตรฐานจากสถาบันทัศนมาตรศาสตร์สากล พร้อมเครื่องมือระดับ hospital-grade เช่น Pentacam HR, Topographer, และระบบ simulation fitting 3D เพื่อออกแบบเลนส์เฉพาะบุคคลให้ผู้ป่วยแต่ละรายได้อย่างแม่นยำ
💡 สรุป: การดูแล Keratoconus คือการดูแลระยะยาวด้วยความเข้าใจ
Keratoconus ไม่ใช่เพียงเรื่องของ “สายตาเบลอ” แต่คือโรคที่ต้องการความใส่ใจและการดูแลแบบต่อเนื่อง ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ปกติ หากได้รับเลนส์ที่เหมาะสมและได้รับการติดตามอย่างสม่ำเสมอ
การออกแบบเลนส์ที่ดี — โดยอิงจากข้อมูล topography และการตรวจ Pentacam อย่างละเอียด — คือหัวใจของการดูแลที่ยั่งยืนในโรคนี้ และคือสิ่งที่ OPTICARE DR+ ยึดมั่นในทุกขั้นตอนการรักษา